วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2562

ยุคศิลปะสมัยใหม่


ยุคศิลปะสมัยใหม่ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 16 – คริสต์ศักราช 1945)

หลังจากสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาเป็นต้นมาวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อความคิดและศิลปวัฒนธรรมทำให้สถาบันศาสนาเริ่มเสื่อมลง ประเทศในยุโรปเริ่มติดต่อและมีสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกตะวันออกมากขึ้น ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางความคิดและวิทยาการต่าง ๆ อันเป็นผลนำไปสู่รูปแบบใหม่ ๆ และความก้าวหน้าในทางศิลปะด้วย
ในระยะแรกศิลปะสมัยใหม่มีลักษณะแบบนีโอคลาสสิค (Neo-classicism) ซึ่งมีรากฐานอยู่บนเหตุผลและมีแบบแผนเช่นเดียวกับศิลปะกรีกและโรมันความงามของศิลปะจึงปรากฏออกมาในรูปของสัดส่วนที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาค เนื้อหาและเรื่องราวต่าง ๆ ในงานศิลปะตลอดจนการจัดลำดับความสำคัญของบุคคลในภาพจะถูกต้องสมเหตุสมผลและมีแบบแผน ศิลปินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ริเริ่ม คือ ยาค หลุยส์ เดวิด (Jacques Louis David) ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ คำปฏิญาณของโฮราที (The Oth of Horatii) ต่อมาเดวิดได้เปลี่ยนรูปแบบการวาดภาพตามแนวกรีกและโรมันมาเป็นแบบสะท้อนสังคมซึ่งตรงกับสมัยปฏิวัติของฝรั่งเศส จนได้รับการยกย่องให้เป็น “ศิลปินแห่งการปฏิวัติ (The Painter of Revolution)”
หลังจากเกิดรูแอบบศิลปะนีโอคลาสสิกแล้ว ได้มีการเคลื่อนไหวทางศิลปะรูปแบบใหม่ ๆ ที่ท้าทายต่อลัทธินีโอคลาสสิค โดยไม่ยอมรับแบบแผนตามแนวกรีกและโรมัน ตลอดจนพยายามหนีออกจากเหตุผลไปค้นหาความจริงใหม่ ๆ ตามวิถีทางที่ตนปรารถนา รูปแบบศิลปะเหล่านี้ ได้แก่ ลัทธิโรแมนติก (Romanticism) ลัทธิสัจนิยม (Realism) และลัทธิอิมเพรสชันนิซึม (Impressionism)
ลัทธิโรแมนติก เป็นรูปแบบศิลปะที่ให้ความสำคัญและยอมรับในความจริงของจิต สุนทรียภาพของศิลปะแบบนี้จึงอยู่ที่การตัดกันของน้ำหนัก แสงและเงา ตลอดจนสีและการจัดภาพเพื่อให้เกิดความจริงจนเกิดอารมณ์หวั่นไหว ตื่นเต้นและเย้ายวนไปตามลีลาที่ศิลปินได้สร้างสรรค์ คุณค่าของศิลปกรรมแบบนี้ เน้นความรู้สึกทางอารมณ์เป็นสำคัญ ศิลปินที่สำคัญได้แก่ ธีโอดอร์  เจอริโคลต์ (Theodore Gericault) ผู้วาดภาพแพนางเมดูซา (The Raft of the Medusa)ภาพแพนางเมดูซา (The Raft of the Medusa) เออแฌน  เดอลาครัวซ์ (Eugene Delacroix) วาดภพเสรีภาพนำหน้าประชาชน (Liberty Guiding People)


                                              ภาพแพนางเมดูซา (The Raft of the Medusa)   
                                                  ผลงานจิตรกรรมของเจอริโคลต์

ลัทธิสัจนิยม (Realism)  เป็นรูปแบบศิลปะที่พยายามหนีความเป็นอุดมคติ (Idealism) มุ่งค้นหาชีวิตจริงศิลปินในสมัยนี้จึงวาดภาพที่สะท้อนความจริงในชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่ขอทาน จนกระทั่งถึงชนชั้นขุนนางและกษัตริย์ เพื่อแสดงออกซึ่งสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีภาพทิวทัศน์และความงดงามของธรรมชาติที่สะท้อนจากประสบการณ์ของศิลปินเหมือนเป็นการบันทึกเรื่องราวที่ศิลปินได้พบมา ดังนั้นศิลปินในความหมายของลัทธิสัจนิยม คือ ผู้แสดงออกซึ่งความจริงที่ตนได้เห็นมา ศิลปินกล้าเผชิญกับความจริงและสร้างงานที่เป็นผลิตผลมาจากความจริง โดยแสดงออกมาให้ละเอียดครบถ้วนตามความสามารถ
ลัทธิอิมเพรสชันนิซึม (Impressionism) หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา เราอาจกล่าวได้ว่าศิลปะได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่มากขึ้น เพราะศิลปินมีความคิดว่าศิลปะสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นอยู่กับรูปแบบศิลปะตามลัทธินิยมแบบเก่า ๆ อีกต่อไป ภาพเขียนไม่จำเป็นต้องวาดภาพให้เหมือนรูปถ่ายหรือเลียนแบบจากธรรมชาติจริง ๆ แต่ศิลปะควรมาจากการรับรู้ ซึ่งเกิดจากความประทับใจของศิลปินที่มีต่อธรรมชาติ ผู้คน บ้านเมือง และสิ่งแวดล้อม
งานอิมเพรสชันนิซึม จึงเป็นงานที่เกี่ยวกับแสงและเงา ที่ศิลปินได้รับรู้ มาจากสิ่งที่ตนเห็นและประทับใจ แล้วแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ทันทีในงานศิลปะ มีการละทิ้งค่านิยมและหลักการออกแบบเก่าๆ เช่น การจัดองค์ประกอบ การจัดความสมดุล นิยมว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องแสง เช่น แม่น้ำดวงอาทิตย์ ทะเล และลำคลอง การวาดภาพแบบอิมเพรสชันนิซึมมีการระบายสีอย่างรวดเร็ว ใช้เทคนิคผู้การโดยทิ้งรอยแปลงและมีความฉับไวในการจับแสง สีในบรรยากาศซึ่งกำลังปรากฏต่อหน้า ภาพแบบอิมเพรสชันนิซึม จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีการคิดฝันหรือจินตนาการ ศิลปินคนสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่ เอดวร์ด มาเนต์ (Edouard Manet) ผลงานที่สำคัญ คือ ภาพโอลิมเปีย (Olympia) และภาพอาหารมื้อเช้าบนสนามหญ้า ( Le Dejeuner sur herbe)
โคลด โมเนท์ ( claude Monet) สร้างผลงานภาพทิวทัศน์ แล้วใช้สีค่อนข้างเข้มข้นขึ้นเป็นสีแท้ๆแต่ให้ความรู้สึกแบบมีระยะ นอกจากนี้ยังมีผลงานภาพ เป็นชุดที่แสดงความผันแปรของอารมณ์และแสงสีในเวลาต่างกัน ผลงานที่มีชื่อเสียงมาก คือ ภาพพระอาทิตย์ขึ้น (The sunrise) นอกจากนี้ยังมีศิลปินอีกหลายท่าน เช่น ปิแอร์ ออกุส เรอนัวร ( Pierre Auguste Renoir) ย่อมสร้างผลงานภาพผู้หญิงโดยมีฉากหลังเป็นส่วนประกอบ และภาพสังคมที่มีจำนวนมาก เช่นภาพการเลี้ยงอาหารกลางวันบนเรือ (Luncheon on the Boating)และมูแห่งกาเลต (Le Moulin de la Galette) เป็นต้น 
                            ภาพพระอาทิตย์ขึ้น ผลงานจิตรกรรมของโคลด โมเนท์

ต่อมาศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสม์ได้เกิดการพัฒนาขึ้นทำให้เกิดรูปแบบที่มีลีลาต่างจากเดิม นักประวัติศาสตร์ศิลป์เรียกพวกนี้ว่า"โพสต์อิมเพรสชันนิซึม ( Post-Impressionism)" เป็นกลุ่มที่ไม่ยอมรับความเชื่อที่ว่า "การเขียนให้มีรายละเอียดโดยเลียนแบบอย่างเป็นจริงตามธรรมชาติจะเป็นจุดมุ่งหมายอันแท้จริงของจิตรกรรม" ศิลปินกลุ่มนี้ไม่นิยมการลอกเลียนแบบแต่พยายามสร้างรูปทรงและบรรยากาศให้มีความสัมพันธ์กลมกลืนกัน มีการลดตัดทอนรูปทรงง่าย ภาพจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกให้มิติของระยะใกล้ไกล มากกว่ารูปแบบลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ซึม ศิลปินโพสต์อิมเพรสชันนิซึม ที่สำคัญ อาทิ ปอล เซซาน ( Paul Ce Zanne) ผลงานของเขาแสดงออกซึ่งความรู้สึก สีและรูปทรงเป็นแบบง่ายๆ มีลักษณะเป็นเหลี่ยม ให้ความสำคัญกับสีมาใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับระยะใช้สีเข้มแสดงระยะใกล้สีอ่อนแสดงระยะไกล ผลงานสำคัญ คือภาพคุณนายเซซานในบ้านสีเขียว (Madamme Ce Zanne in the Green house)
วินเซนต์ ฟาน ก๊อก ( Vincent Van Gogh) เป็นศิลปิน 2 สมัยระหว่างโพสต์อิมเพรสชันนิซึมและเอกซ์เพรสชันนิซึม (Expressionism) ทั้งนี้ เพราะผลงานในระยะแรก ของเขาแสดงลักษณะแสงสีมากกว่าความรู้สึกประทับใจ ได้แก่ ภาพราตรีประดับดาว (Starry Night) ส่วนผลงานในระยะหลัง แสดงความรู้สึกภายในมากกว่าแสงสี มีลักษณะเด่นตรงรอยแปรง ที่ทำให้เกิด ความรู้สึกได้ดีเยี่ยม เช่น ภาพดอกทานตะวัน (Sunflower) และภาพเหมือนตนเอง (Self-Portrait) เป็นต้น


                                                 ภาพดอกทานตะวัน (Sunflower)                       
                                        ผลงานของวินเซนต์ ฟาน ก๊อก  

                                          ภาพเหมือนตนเอง (Self-Portrait)
                                                   ผลงานของวินเซนต์ ฟาน ก๊อก


ปอล  โกแกง (Paul  Gauguin) ผลงานมีลักษณะเด่นตรงที่การให้สีรุนแรงและตัดทอนรายละเอียดของรูปทรงโดยเน้นเฉพาะส่วนสำคัญ ลักษณะของรูปทรงจึงชัดเจนมีท่าทางง่าย ๆ ผลงานที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ภาพพระคริสต์สีเหลือง ( The Yellow Christ) เป็นต้น
ยอร์จ  เซอราต์ (George  Seurat) ได้นำเอาหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องแสงเข้ามาใช้ ทำให้เกิดเทคนิคใหม่ที่เรียกว่า การผสมสีในดวงตา (Optic Mixture) โดยอาศัยเทคนิคจุด (Pointiliism) ซึ่งต้องทำสีให้เป็นส่วนย่อยก่อนเพื่อสร้างสีส่วนรวม ผลงานที่ได้จึงมีความสดใส ผลงานที่สำคัญ เช่น ภาพวันอาทิตย์ตอนกลางวันบนเกาะกรังจั๊ต (Sunday Afternoon on the Island of Le Grande Jatte) นอกจากเซอราต์ก็ยังมีพอล  ซินยาค ( Paul Signac) ซึ่งมีลักษณะการสร้างงานแบบเทคนิคจุดเช่นเดียวกัน ด้วยลักษณะการวาดภาพที่แตกต่างจากศิลปินโพสต์อินเพรสชันนิซึมคนอื่น ๆ จึงมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์จำแนกงานศิลปะลักษณะนี้ให้อยู่ในกลุ่ม “นีโออิมเพรสชันนิซึม”

                                           ภาพพระคริสต์สีเหลือง ( The Yellow Christ)                      
                            ผลงานของปอล  โกแกง                               

                                          ภาพวันอาทิตย์ตอนกลางวันบนเกาะกรังจั๊ต
                              (Sunday Afternoon on the Island of Le Grande Jatte)


         ลัทธิโฟวิซึม (Fauvism) เป็นลัทธิที่แสดงออกซึ่งความรุนแรง ตื่นเต้น เริ่มขึ้นในฝรั่งเศสโดยมีอองรี  มาตีส (Henri  Matisse) เป็นผู้นำกลุ่ม ลัทธินี้ล้มเลิกกฎเกณฑ์โบราณ โดยแสดงออกซึ่งความรู้สึกและความเป็นตัวเองมากขึ้นนิยมระบายสีสดและรุนแรง รูปทรงของวัตถุแสดงออกมาหยาบ ๆ ไม่เน้นรายละเอียดและหลักทัศนียภาพ

           สุนทรียภาพของงานศิลปะลัทธินี้เกิดจากความต้องการที่จะแสดงออกอย่างเต็มที่ ผลงานจึงแสดงออกถึง ลีลาความสนุกสนานที่เกิดมาจากเส้น รูปทรง สีและแสง วาดตัดเส้นด้วยสีสดใส หรือใส่ลวดลายทำให้เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ ที่ต่างไปจากลีลาแบบอิมเพรสชันนิซึม

          
               ลัทธินาอีฟหรือแนฟว์ (Naive) เป็นลัทธิที่แสดงออกทางศิลปะแบบขาดหลักวิชาในเชิงช่าง แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่จะวาดให้เหมือนจริงมากที่สุด เนื้อหาเรื่องราวล้วนสะท้อนให้เห็นภาพธรรมชาติที่ถูกดัดแปลงแปตามความต้องการของจิตรกร มีลักษณะและรูปแบบเฉพาะตนเน้นอารมณ์ความรู้สึกต่อวิถีแห่งธรรมชาติ มีรายละเอียดในภาพมาก ผลงานแบบนาอีฟจึงดูคล้ายกับงานของเด็ก ศิลปินนาอีฟที่สำคัญเช่น อองรี  รุสโซ (Henri  Rousseau) ผลงานของเขามีลักษณะเป็นแบบพวกอนารยชน ได้แก่ ภาพยิปซีหลับ (The Sleeping Gypsy) และภาพสิงโตหิว (The Hungry Lion) เป็นต้น 
  ภาพสิงโตหิว (The Hungry Lion)
           ลัทธิบาศกนิยม (Cubism) เป็นลัทธิที่ถ่ายทอดศิลปกรรมเป็นรูปแบบเรขาคณิต สุนทรียภาพของลัทธินี้อยู่ที่โครงสร้างปริมาตรและรูปทรง ซึ่งเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของสรรพสิ่ง ไม่นิยมใช้สีที่รุนแรง ผลงานส่วนใหญ่เป็นสีทึม ๆ ลัทธินี้เริ่มเคลื่อนไหวในประเทศฝรั่งเศส โดยจิตรกร 2 คน คือ จอร์จ  บาร์ค (George  Barque) ชาวฝรั่งเศส และ ปาโบล  ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ชาวสเปน ซึ่งต่างได้รับอิทธิพลมาจากปอล     เซซาน ซึ่งมีความคิดว่า “เรขาคณิตเป็นโครงสร้างพื้นฐานของรูปทรงทางธรรมชาติ” จิตรกรคนสำคัญในลัทธินี้ คือ ปาโบล ปิกัสโซ สร้างผลงานที่เป็นที่รู้จักไปอย่างแพร่หลาย คือ ภาพหญิงสาวแห่งเมืองอาวิยอง (Les Demoisellesd Avignon) แลภาพ เกอนีคา (Guernica) สำหรับงานประติมากรรมที่เกิดขึ้นจากลัทธินี้ ได้แก่ ประติมากรรมหญิงสาวกำลังหวีผม (Woman combing her hair) ของอเล็กซานเดอร์  อาร์ชิเปนโก (Alexande  Archipenko) และประติมากรรมคนอาบน้ำ (The Large Bathers) ของยาค  ลิปชิตซ์ (Jacques  Lipchitz) เป็นต้น

              ลัทธิฟิวเจอร์ริซึม (Futurism) เป็นลัทธิที่เกิดขึ้นอิตาลี โดยมีหลักการเน้นในเรื่องความเคลื่อนไหวแสดง ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน มีการนำหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องความเร็วมาเขียนเป็นจังหวะซ้ำ ๆ กัน เพื่อสร้างความเร็วให้มองเห็นได้ ศิลปินลัทธินี้ปฏิเสธความเพ้อฝันแต่ยกย่องการเคลื่อนไหวของร่างกายและวัตถุ เช่น การวาดภาพคนกำลังวิ่ง สุนัขกำลังกระดิกหาง วงล้อของรถยนต์ และมือในขณะกำลังสีไวโอลิน เป็นต้น จิตรกรและประติมากรที่สำคัญ ได้แก่ อุมแบร์โต บ็อคชิโอนี (Umberto Boccioni) เป็นศิลปินชาวอิตาลีที่มีความสามารถทั้งในด้านจิตรกรรมและประติมากรรม ผลงานที่สำคัญ คือ รูปทรงที่เป็นเอกภาพของอวกาศ (Uniqe Forms of Continuity Space)

             ลัทธินามธรรม (Abstract) เป็นศิลปะที่นิยมกันมากในศตวรรษที่ 20 มีลักษณะที่เน้นในด้านรูปทรงมากกว่าการเสนอเรื่องราว และตัดทอนรายละเอียดต่าง ๆ ทำให้มีรูปทรงที่ง่าย ในงานบางชิ้นเน้นพื้นผิวหรือสีตลอดจนมีการจัดองค์ประกอบ เพื่อการแสดงออกของจิตภายใน ศิลปินผู้ริเริ่มสร้างงานตามแนวลัทธินี้ คือ วาสสิลี  คานดินสกี้ (Wassily  Kandinsky) จิตรกรชาวรัสเซีย สุนทรียภาพอยู่บนพื้นฐานของการใช้สีเข้มขึ้น สดใส และการทำพื้นผิวให้ดูเหมือนเคลื่อนไหว


              ลัทธิดาดา (Dadaism) เป็นลัทธิที่เกิดขึ้นมาเพราะความขัดแย้ง เช่น ความขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติและเศรษฐกิจ ทำให้เกิดสงคราม จึงเกิดการต่อต้านโดยแสดงออกในรูปแบบของศิลปะที่ต่อต้านทุกอย่าง ผลงานจึงมีลักษณะแปลกมากกว่าความงาม บางผลงานมีลักษณะน่าเกลียด สร้างขึ้นเพื่อเตือนใจมนุษย์ให้นึกถึงผลร้ายของสงครามและภัยของวัตถุนิยม ปรัชญาของลัทธิอยู่ที่การยอมรับในสิ่งที่ตนเองเห็น แล้วแสดงออกมาในรูปของการเสียดสี จึงเป็นการมองในแง่มุมกลับของค่านิยมต่าง ๆ ซึ่งเคยยึดถือกันมา ศิลปินในลัทธินี้ ได้แก่ ฮันส์ อาร์ป (Hans Arp) มาร์เซล ดูชองป์ (Marcel Duchamp) แม็กซ์ แอนส์ (Max Ernst) และพอลลา โมเดอร์สัน เบคเกอร์ (Paula Modersohn Becket) เป็นต้น

          ลัทธิเซอร์เรียลลิซึม (Surrealism) เป็นศิลปะที่แสดงออกอย่างเสรีของจิตไร้สำนึก มีลักษณะของความฝันและความคิดที่ไม่ถูกชักนำ แสดงออกซึ่งความกลัว ความผิดหวัง ความรัก และการแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ของอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนแสดงออกถึงความอนิจจังของสรรพสิ่ง ศิลปะลัทธินี้ได้รับอิทธิพลมากจากแนวคิดของ ซิกมันด์  ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย และคาร์ล จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ เซอร์เรียลลิซึม คือ วิญญาณนิยมที่ถือว่าชีวิตมีอยู่ได้เพราะวิญญาณ ศิลปินในลัทธินี้จึงเปรียบเสมือนบุคคลที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งซึ่งไร้วิญญาณให้ฟื้นกลับมามีชีวิต เช่น ภาพลางร้ายของสงครามกลางเมือง (Premonition of Civil War) ของซาลวาดอร์  ดาลี (Salvados Dali) ภาพวันเกิด (Birth Day) ของมาร์ค ชากาล  (Marc Chagall) และผลงานต่าง ๆ ของพอล คลี (Paul Klee) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีประติมากรคนสำคัญ คือ อัลเบอร์โต จีอาโกเมตติ (Alberto Giacometti) เป็นต้น



             ศิลปะประชานิยม (Pop Art) เป็นศิลปะที่แสดงออกซึ่งวิถีชีวิตของคนสมัยใหม่ ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาและพยายามหาทางสร้างศิลปะที่ไม่จำเป็นต้องอยู่บนผืนผ้าใบหรือแผ่นไม้ แต่นำเอาวัสดุต่าง ๆ มาติดเข้ากับผืนภาพ งานศิลปะแบบนี้จึงเป็นที่นิยมอยู่ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ศิลปินที่สำคัญ ได้แก่ โรเบิร์ต เราเชนเบิร์ก (Robert Rauschenberg) ได้นำเอาวัสดุต่าง ๆ เช่น หัวแพะสตัฟยางรถยนต์ สายไฟ มาประกอบกัน และให้ชื่อว่า “อักษรย่อ (Monogram)” นอกจากนี้งานศิลปะประชานิยมจะมีลักษณะคล้ายกับงานโฆษณา เช่น ผลงานของรอย ลิชเชนสไตน์ (Roy Lichtenatein) มีผลงานวาดภาพคล้ายกับงานการ์ตูนโดยนำเอาเทคนิคทางพาณิชย์เข้ามาช่วย


              ออปอาร์ต (Op Art) คำว่า Op. Art มาจากคำว่า Optical Art เป็นศิลปะที่เกี่ยวกับตาและการรับรู้ทางตา เพราะฉะนั้นผลงานในลัทธินี้จึงเน้นสีเข้มและสด โดยเฉพาะสีขาวและสีดำ งานลักษณะนี้ไม่เน้นเนื้อหาและเรื่องราว แต่วาดเส้นง่าย ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางสายตายิ่งสะดุดตามากเท่าใดก็แสดงว่าประสบผลสำเร็จมากเท่านั้นศิลปะแบบนี้จึงนิยมใช้ในงานโฆษณา การจัดเวที การจัดร้าน ศิลปินในงานออปอาร์ต เช่น บริดเก็ต ไรเลย์ (Bridget Riley) เป็นต้น



สรุปรูปแบบงานทัศนศิลป์ 


ศิลปะตะวันตก
 ศิลปะตะวันตกจัดเป็นศิลปะแบบเหมือนจริง (realistic Art) เนื่องจากศิลปินได้สร้างสรรค์ผลงานโดยยึดความเหมือนจริงตามธรรมชาติทั้งเรื่องแสงเงา สีสัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลงานศิลปะตะวันตกจะมีรูปแบบตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ เช่นประติมากรรมรูปมนุษย์หรือสัตว์ ที่มีลักษณะโครงสร้างร่างกายกล้ามเนื้อที่มีความเหมือนจริง
ลักษณะของศิลปะตะวันตกจะมีความคล้ายคลึงกันในแต่ละท้องที่เพราะคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์เหมือนกัน แม้จะต่างลัทธิก็ตาม นอกจากนี้สภาพแวดล้อมและภูมิอากาศของฝั่งตะวันตกที่มีความหนาวเย็นเหมือนกัน รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีที่มีความใกล้เคียงกันส่งผลให้ศิลปะตะวันตกมีลักษณะที่ร่วมกันไม่แยกเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เด่นชัดเหมือนศิลปะตะวันออก
การสร้างสรรค์งานศิลปะของชาวตะวันตกนั้นมีจุดเริ่มต้นจากความศรัทธาในศาสนาจึงมีความต้องการสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อจรรโลง คริสต์ศาสนา ด้วยความเลื่อมใส จากความเชื่อในพระเจ้าทำให้ผลงานทั้งจิตรกรรมและประติมากรรมแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพระเจ้า
ศิลปะตะวันตกมักคิดหาวิธีการสร้างสรรค์งานศิลปะใหม่ๆอยู่เสมอเพื่อหาแนวทางของตนเองทำให้ผลงานของศิลปินแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันเช่นการสร้างสรรค์ผลงานของ ปาโบล  ปีกัสโซ ที่ใช้วิธีการตัดทอนรายละเอียดของรูปร่าง รูปทรง สี แสง-เงาให้ลดน้อยลง หรือผิดไปจากความเป็นจริง หรือการสร้างสรรค์งานให้เป็นรูปแบบนามธรรม (abstraction) ที่ใช้ความรู้สึก เช่น ความสุข ความเศร้าเป็นสื่อแทนรูปร่างรูปทรง





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น