ศิลปะไบแซนไทน (Byzantine
Art : ค.ศ. 330-1453)
จิตรกรรม งานจิตรกรรมของไบแซนไทน์ใช้สีฉูดฉาก
มีการนำสีทองมาตกแต่งให้เกิดความอลังการและความขลังตามแนวของศิลปกรรมตะวันออก
การวาดภาพนอกจากจะมีการวาดภาพฝาผนังแบบเฟรสโกแล้วยังนิยมการทำโมเสกประดับตกแต่งฝาผนังและพื้นห้อง
นอกจากนี้ยังนิยมการเขียนภาพประกอบในคัมภีร์ เนื้อหาของภาพเกี่ยวกับพระเจ้า
นิยมวาดภาพการแต่งกายมิดชิด โครงสร้างของคนค่อนข้างผอมสูงไม่เน้นความถูกต้องทางกายภาพแต่เน้นการแสดงออกซึ่งความรู้สึกและจิตวิญญาณของชาวคริสเตียนที่มีความภักดีและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
ประติมากรรม
งานประติมากรรมของไบแซนไทน์นิยมสร้างงานเกี่ยวกับบุคคลในศาสนา มีทั้งภาพนูนสูง
นูนต่ำ และลอยตัว ตลอดจนมีการแกะสลักฉลุลายอย่างสวยงาม
โดยใช้วัสดุจากช้างและหินอ่อน โดยเฉพาะการนำหินอ่อนมาฉลุลายเป็นรูปใบไม้ ดอกไม้
และตัวสัตว์สำหรับทำฉากกั้น การทำหัวเสามีความละเอียดประณีต นิยมการเล่นแสงและเงา
สถาปัตยกรรม
ในสมัยนี้สถาปัตยกรรมมีหลายรูปแบบ
แต่นิยมโครงสร้างบาสิลิกาแบบโรมันหลังคาโดม หรืออาจทำโครงสร้างแบบกรีกครอส
หรือกากบาท (Greek Cross) ซึ่งนับว่าเป็นรูปแบบไบแซนไทน์แท้
ๆ เช่น โบสถ์เซนต์โซเฟีย (St.Sophia) รูปแบบนี้ต่อมาได้มีอิทธิพลต่อการสร้างสุเหร่าของชาวมุสลิม
ศิลปะโรมาเนสค์และศิลปะโกธิค
(ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 6-15)
หลังจากโรมันตะวันตกล่มสลายไป แต่ความเชื่อในด้านคริสต์ศาสนายังคงมีอยู่ เหล่าอนารยชนที่เข้ามามีอำนาจในอาณาจักรโรมันตะวันตก ได้ยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของคริสต์ศาสนา ทำให้ความเข้มแข็งของศาสนาคริสต์เพิ่มมาขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้พระสันตะปาปาผู้เป็นประมุขในกรุงโรมมีอำนาจเหนือสถาบันต่าง ๆ ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยกลาง จึงเป็นที่รู้จักในนาม “สมัยแห่งความศรัทธา (Age of faith)”
การแสดงออกทางศิลปกรรมในสมัยกลาง มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่ศิลปะโรมาเนสค์ (Romanesque) ซึ่งเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพระซึ่งเป็นผู้นำในด้านศาสนาและการปกครอง มีการนำรูโค้งแบบโรมันเข้ามาประกอบการสร้าง ลักษณะกำแพงโบสถ์หนาและทึบตัน จึงมีประตูลึกลดหลั่นเป็นตอน ๆ หน้าต่างปล่อยแสงเข้ามาในอาคารน้อย ทำให้ภานในอาคารค่อนข้างมืด นิยมตกแต่งอาคารด้วยรูปพระเยซูและนักบุญต่าง ๆ จิตรกรรมและประติมากรรมจึงเป็นเรื่องราวทางศาสนา
ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่
12 มีการสร้างงานศิลปะแบบโกธิค (Gothic) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากความร่วมมือร่วมในของประชาขน
จึงทำให้เกิดความรู้สึกมีชีวิตชีวาและละเอียดประณีตมาก
อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาอีกด้วย ศิลปะแบบโกธิคมีความอ่อนช้อย
แสดงออกซึ่งศรัทธาต่อพระศาสนาอย่างแรกกล้า การตกแต่งมีทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม
ศิลปกรรมที่โดดเด่นและกลายเป็นสัญลักษณ์ของศิลปะแบบโกธิคคือ กระจกสเตนแกลส (Stained
glass) ซึ่งเกิดจากการนำกระจกสีมาตัดเป็นรูปร่างและเรื่องราวตามที่ต้องการ
จากนั้นจึงนำมาเชื่อมต่อกันด้วยโลหะประเภทตะกั่ว นำยมประดับตามหน้าต่างและประตู
ทำให้เกิดความอลังการ เมื่องแสงอาทิตย์มาตกกระทบยังรูปภาพเหล่านี้
ก็จะเกิดการสะท้อนของสีต่าง ๆ มากกมาย ทำให้สวยงามและแปลกตา
นอกจากนี้ยังมีการหล่อรูปพระเยซู แม่พระและนักบุญต่าง ๆ ประดับตามหลังคา หน้าต่าง
และประตูของโบสถ์
ประกอบกับการสร้างหลังคายอดแหลมสูงทำให้โบสถ์แบบโกธิคมีความงดงามประดุจสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า
เช่น โบสถ์นอร์ทเตรอ ดาม กรุงปารีส (Nortre Dame de Paris)
ศิลปกรรมในสมัยนี้ไม่ได้มีแต่การสร้างโบสถ์และวิหาร
แกะสลักรูปเคารพ หรือการเขียนภาพประกอบเรื่องราวในพระคัมภีร์เท่านั้น
ยังมีการแกะสลักส่วนประกอบที่ใช้ตกแต่งอาคาร เช่น การแกะสลักฉากกั้นห้อง
การแกะสลักเสาวิหาร การแกะสลักรูปติดบนสันหลังคาและที่เหนือบานประตูอีกด้วย
สรุปได้ว่า
งานศิลปกรรมสมัยกลางมีเนื้อหาและรูปแบบที่มุ่งแสดงแนวคิดทางคริสต์ศาสนา
ทำให้เกิดความนิยมในการสร้างรูปเคารพของพระเยซู
แม่พระ และนักบุญต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ต้องการเน้นความงามมากนัก
แต่เน้นด้านเนื้อหาเพื่อเตือนใจและสอนมนุษย์ให้หยุดความชั่วร้าย
กระทำแต่ความดีงามเพื่อชีวิตในโลกหน้า
ศิลปะสมัยนี้จึงเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์เข้าใจศาสนามากยิ่งขึ้น
โบสถ์นอร์ทเตรอ ดาม กรุงปารีส (Nortre Dame de Paris)
การประดับกระจกสเตนแกลส
มีประโยชน์มากๆเลยค่ะคล้ายกับที่จดสรุปก่อนออกสอบแต่มีเนื้อหาเยอะมากค่ะเน้นๆเลย
ตอบลบ